Skip to content Skip to footer

ยุคทั้ง 4

ยุคคืออะไร?

ในโลกตะวันตก ผู้คนมักมองว่าเวลาเป็นเส้นตรง โดยที่อนาคตมีวิวัฒนาการมากกว่าอดีต อย่างไรก็ตาม ในอินเดีย เวลาถูกมองว่าเป็นวัฏจักร โดยที่ผู้คนค่อย ๆ พัฒนาขึ้น จากนั้นก็ค่อย ๆ พัฒนาลง และค่อย ๆ พัฒนาขึ้นอีกครั้ง สิ่งนี้เรียกว่า “วงจรยุค” และแบ่งออกเป็น “ยุค” หรือช่วงเวลาที่แตกต่างกัน4 แบบ ยุคสูงสุดคือ Satya Yuga จากนั้น Treta Yuga แล้วก็ Dwapara Yuga และยุคที่พัฒนาน้อยที่สุดคือ Kali Yuga

ยุคจะถูกแยกย่อยออกไปอีกไม่ว่าจะขึ้นหรือลง หมายความว่า เราอยู่ในส่วนหนึ่งของวงจรที่ขึ้นสู่ยุคที่สูงกว่า หรือมุ่งหน้าลงสู่ยุคที่ต่ำกว่า วัฏจักรทั้งหมดใช้เวลา 24,000 ปี ศรี ยุกเตศวาร์ (Sri Yukteswar) นักโหราศาสตร์ชาวอินเดียผู้มีชื่อเสียงและมีจิตวิญญาณที่ตระหนักรู้ในตนเอง ได้แสดงความคิดเห็นในหนังสือของเขาเรื่อง The Holy Science ว่ายุคต่างๆ เป็นอย่างไร

กลียุค (Kali Yuga) – ยุคแห่งวัตถุนิยม

ในช่วงกลียุค มนุษย์มีการพัฒนาน้อยที่สุด ทั้งในด้านจิตวิญญาณและสติปัญญา โดยทั่วไป ผู้คนสามารถเข้าใจแต่ด้านวัตถุ และดำเนินชีวิตด้วยอวิชชา (ignorance) เท่านั้น พลังความตั้งใจนั้นต่ำมากและคนส่วนใหญ่ก็ยอมรับชะตากรรมของตนอย่างอดทน เรื่องราวที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับความรู้โบราณส่วนใหญ่ถูกทำลาย

ศาสนานั้นเคร่งครัด, ไร้เหตุผล และไม่ยอมรับ บางคนรู้คำสอนที่สูงกว่าทางศาสนา แต่พวกเขาต้องซ่อนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการข่มเหง แน่นอนว่าในทุกยุคมี souls ซึ่งมี consciousness สะท้อนถึงยุคที่สูงกว่า และกลียุค ยุคสุดท้ายของโลกก็ไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากมีนักปรัชญาและศิลปินที่เก่งกาจ เมื่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุดที่จะต้อง ascending ของ Kali Yuga (ค.ศ. 1700) ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาก็เกิดขึ้น และความรู้มากมายที่คิดว่าสูญหายไปก็ถูกค้นพบอีกครั้ง

ทวาปาระยุค (Dwapara Yuga) – ยุคแห่งพลังงาน

ทวาปะระ ยุค คือยุคที่เรากำลังอยู่นี้เรียกว่ายุคแห่งพลังงาน เพราะในยุคนี้เราสามารถเข้าใจและควบคุมพลังงานได้ดีกว่าในกาลียุค ในทวาปาระยุคนี้ เทคโนโลยีกำลังเฟื่องฟู ศาสนา, ปรัชญา และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ทุกประเภทกำลังผุดขึ้นมา ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสสารและพลังงานสามารถใช้แทนกันได้
นี่คือยุคที่เราเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามอวกาศและระยะทาง เรากำลังทำอยู่บ้างแล้ว ทั้งโทรศัพท์, อินเตอร์เน็ต และการเดินทางความเร็วสูง และในอนาคตเราคงจะค้นพบความลับของการเดินทางที่ทำให้เราล่องลอยอยู่ท่ามกลางดวงดาวได้ในทันที น่าเสียดายที่หนทางอีกยาวไกล ชาวทวาปาระยุคเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นอย่างมาก ดังนั้น แรงจูงใจในการบรรลุเป้าหมายของเราจึงมักจะเห็นแก่ตัว แต่มีวิธีที่สูงกว่าในการรับรู้จักรวาลมากกว่าเหตุผล ใน Treta Yuga เราเรียนรู้วิธีใช้ intuition ของเรา

Treta Yuga – ยุคแห่งความคิด

ใน Treta Yuga เราตระหนักดีว่าทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกัน เราจะมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง เช่น telekinesis, mental telepathy, และความสามารถในการ manifest ทุกสิ่งที่เราต้องการ หากมีสงครามเกิดขึ้นก็ไม่ลุกลาม คนส่วนใหญ่จะรักสงบและมีความเห็นอกเห็นใจ มันไม่จำเป็นต้องมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากกว่าทวาปาระยุค แต่มีความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณมากกว่า การมีความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณมากขึ้นและสามารถ manifest ทุกสิ่งที่เราต้องการได้ตามต้องการ จริงๆ แล้วเราอาจละทิ้งเทคโนโลยีไว้เบื้องหลังและเลือกที่จะดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ความแตกต่างที่ชัดเจน ที่แยก 2 ยุคล่าง คือ กลียุคและทวาปาระยุค จาก 2 ยุคบน คือ เทรตายุค และสัตยายุค คือการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ผู้คนในกลียุคและทวาปาระยุค มักโลภและใช้ชีวิตเพียงเพื่อช่วยเหลือตนเอง บางครั้งอาจเพื่อครอบครัวและเพื่อนฝูง อย่างไรก็ตาม ใน Treta และ Satya Yuga ผู้คนตระหนักดีว่าเราทุกคนเชื่อมโยงถึงกัน และทำงานเพื่อประโยชน์ของทุกคนพอๆ กับตัวพวกเขาเอง

สัตยายุค (Satya Yuga) – ยุคแห่งจิตวิญญาณ

ปัจจุบัน Satya Yuga ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเรา เช่นเดียวกับ Treta Yuga; อย่างไรก็ตาม ศรี ยุกเตศวร กล่าวในหนังสือของเขาว่า “สติปัญญาของมนุษย์สามารถเข้าใจทุกสิ่งได้ แม้กระทั่ง God the Spirit ที่อยู่นอกเหนือโลกที่มองเห็นได้นี้”

นี่คือยุคที่เราจะก้าวหน้าทางจิตวิญญาณจนพระเจ้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเรา เราจะสามารถเห็นพระเจ้าในทุกคนและทุกสิ่ง ปรีชาญาณของเราจะได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ และเราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและความเรียบง่ายตามธรรมชาติ เราจะเข้าใจธรรมชาติของจักรวาลและสามารถสื่อสารทางกระแสจิตไปยังที่ใดก็ได้ในโลก

มีตำนานมากมายเกี่ยวกับ “ยุคทอง” นี้ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมากมาย

บางสิ่งที่ตำนานเหล่านี้มีร่วมกันคือ:ผู้คนถูกมองว่าเป็น “กึ่งเทพ” และสามารถบินและสร้างสิ่งต่าง ๆ ได้ตามต้องการ

ผู้คนดูอ่อนเยาว์ไปตลอดชีวิตและไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
ผู้คนสามารถสื่อสารกับสัตว์และอยู่ร่วมกับธรรมชาติและกันและกันได้
อากาศกำลังดีและมีของกินมากมาย
ทุกคนสามารถสื่อสารด้วยภาษาเดียวได้

บทสรุป

แม้ว่าวัฏจักรของยุคนี้ไม่ได้รับการยอมรับในวิทยาศาสตร์ตะวันตกในปัจจุบัน แต่ก็มีหลักฐานมากมายที่ชาวตะวันตกรู้จักแต่ในปัจจุบันกลับมองข้าม

หากเราสามารถเข้าใจอดีตของเราได้ดีขึ้นและโลกของเรากำลังมุ่งหน้าไปทางใด มันจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในตอนนี้ นอกจากนี้ เรายังสามารถยกบุคคล Satya Yuga เป็นตัวอย่างว่าเราควรประพฤติตนอย่างไร: สอดคล้องกับธรรมชาติและส่วนที่เหลือของมนุษยชาติ, ปฏิบัติต่อทุกสิ่งราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเอง เพราะภายใต้รูปลักษณ์ของชีวิต มันเป็นเช่นนั้น